7 เทคนิคทำรายงานให้ได้คะแนนเต็ม
1. รูปแบบเด่น เน้นเรียบ แต่หรู
เคยเห็นหน้าปกรายงานลายการ์ตูนโดราเอมอน ลายคิตตี้มั้ยคะ น้องๆ คิดว่าสวยมั้ยเอ่ย? หลายคนเห็นว่าสวย น่ารัก เอามาใช้อาจารย์ต้องชอบแน่ๆ เลย คิดผิดแล้วค่ะ! กระดาษหน้าปกลายการ์ตูน ไม่ได้มีผลต่อคะแนนเลยค่ะ ดีไม่ดีกลายเป็นว่าทำให้รายงานดูแบ๊วเกินไป ไม่สวยงามในสายตาอาจารย์อีกด้วย
รูปเล่มรายงานที่น่าสนใจไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อกระดาษแพงๆ ลายการ์ตูน กลิ่นหอมฟุ้งไปถึงข้างบ้านหรือประดับด้วยสติ๊กเกอร์หรืออะไรมากมายหรอกค่ะ การทำรายงานที่ถูกต้องควรเน้นความเรียบร้อย สะอาด และเป็นระเบียบ ดังนั้นใช้แค่กระดาษแข็งสีอ่อนก็ทำให้รายงานดูดีขึ้นได้มากแล้ว และเมื่อมีหน้าปกแล้วก็อย่าลืมเย็บเล่มให้ดูดี ใส่ปกใสเพื่อความเป็นมืออาชีพและทำให้รายงานเราสะอาดขึ้นด้วย สรุปก็คือ รูปแบบรายงานควรเน้นเรียบ สะอาดเรียบร้อย แต่ดูหรูหรา รายงานเราไม่จำเป็นต้องสวยที่สุดแต่ต้องโดดเด่นที่สุด ตรงคอนเซปท์ Less is more ค่ะ
2. หัวข้อน่าสนใจ ใครเห็นใครก็อยากให้คะแนน
พูดถึงรูปแบบเล่มไปแล้ว ขอวกกลับเข้ามาที่เนื้อหารายงานกันบ้าง เนื้อหารายงานเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรายงาน เนื้อหาดีได้คะแนนแน่ๆ แล้วเกินครึ่ง อย่างอื่นเป็นองค์ประกอบเติมเต็มให้ได้เต็ม 10
เนื้อหารายงานที่น่าสนใจ ควรเริ่มต้นมาจากการเลือกเรื่องให้น่าสนใจเสียก่อน แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าหัวข้อไหนน่าสนใจ? ขั้นแรกควรมองหาจากสิ่งรอบตัว สถานการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น แล้วลองหยิบเอาความรู้จากในบทเรียนไปประยุกต์ดูว่าพอจะนำมาทำเป็นหัวข้อได้ไหม หรือลองปรึกษาคนรอบตัว เช่น อาจารย์ประจำวิชา อาจารย์ที่ปรึกษา หรือแม้แต่อาจารย์ท่านอื่นๆ ก็ได้เหมือนกันค่ะ เมื่อได้หัวข้อมาแล้ว อย่าลืมดูด้วยว่าเราสามารถทำได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ถ้าดูแล้วทำไหวแน่นอน ก็ลุยให้เต็มที่ รับรองว่าทำเรื่องที่น่าสนใจ ใครๆ ก็อยากอ่าน อยากให้คะแนนจ้า
3. รู้ใจคนตรวจ
อีกหนึ่งวิธีลัดสำหรับการเลือกหัวข้อมาทำรายงาน แต่ต้องมีเซ้นส์และชอบสังเกตเป็นพิเศษ นั่นก็คือ รู้ว่าอาจารย์ที่ตรวจรายงานชอบสอนแนวไหน เนื้อหาที่อาจารย์ถนัดหรือชอบเป็นพิเศษ หรือสไตล์การตรวจรายงานเป็นยังไง เช่น อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ ชอบเล่าเรื่องประวัติศาสตร์สมัยอยุธยามากกว่าสมัยอื่นๆ ก็อาจเจาะเนื้อหาไปที่เนื้อหาเกี่ยวกับสมัยอยุธยา หรือ อาจารย์ชอบเนื้อหาที่มีภาพประกอบมากกว่าตัวหนังสือแน่นๆ ก็ใส่เนื้อหาเข้าไปในรายงานด้วย เป็นต้น
การทำรายงานแบบรู้ใจคนตรวจ นอกจากจะช่วยให้ผู้ตรวจสนใจรายงานเรามากขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อรายงานเราโดยตรงแล้ว ยังเป็นการฝึกทักษะการทำรายงานทางอ้อมด้วย เพราะการทำรายงานตรงใจคนตรวจอาจไม่ใช่เรื่องที่เราชอบซะทีเดียว เราจึงต้องหาข้อมูล ทำการบ้านหนักกว่าเดิม แต่ก็ได้ความรู้แน่นมากกว่าเดิมด้วย
4. เน้นเนื้อ(หา) ไม่เน้นน้ำ
สำนวน "น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง" ใช้ได้กับการทำรายงานด้วย น้องๆ บางคนเจอข้อกำหนดรายงาน 10 หน้า 20 หน้าขึ้นมาแล้วเครียด เพราะไม่รู้ใน 20 หน้าจะเขียนอะไร ก็เลยพยายามเขียนให้ถึงจำนวนหน้าที่กำหนด ทั้งๆ ที่ใจความเนื้อหาจบไปตั้งแต่ 3 หน้าแรกแล้ว ฮ่าๆ (คล้ายๆ กับการสอบเลย เขียนสด มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ)
อาการแบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยค่ะ ประเภททำรายงานครบหน้าตามที่กำหนด แต่ไม่มีสาระอะไรเลย หรืออาการที่ว่าตันไม่รู้จะเขียนอะไรเพิ่มดี ทำให้เนื้อหามีแต่น้ำ ความพยายามเป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่ถ้ารู้เทคนิค และไปพยายามให้ถูกจุด น้องๆ ก็จะได้สาระกลับคืนสู่รายงานได้แน่นอน เทคนิคนั้นก็คือ การวางโครงเรื่องรายงานนั่นเอง การวางโครงเรื่องก็เหมือนกับการเขียนสารบัญที่ทำให้เรารู้ว่า จะต้องเขียนเนื้อหาเรื่องอะไรบ้าง และหัวข้อต่อที่จะเขียนคืออะไร ทำให้การเขียนรายงานของน้องๆ ไม่มีทางตันแถมยังแน่นไปด้วยเนื้อหาเน้นๆ อีกด้วยล่ะ
5. แหล่งอ้างอิงเชื่อถือได้ ไม่มโน
ต่อเนื่องจากเทคนิคเนื้อหาควรเน้นเนื้อไม่เน้นน้ำ ก็คือ การหาแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มาประกอบการเขียนรายงานนั่นเอง โดยปกติแล้วการทำรายงานในวัยของน้องๆ ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมานั่งทำงานวิจัยหรือทำงานทางวิชาการด้วยตัวเอง ดังนั้นในรายงานจึงเกิดจากการหาข้อมูลและมาเรียบเรียงให้ตรงกับหัวข้อของเราและนำไปส่ง ฉะนั้นจึงจำเป็นมากๆ ที่เราต้องอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่นำมาใช้ ไม่ใช่แค่เพื่อให้รายงานน่าเชื่อถือ แต่เป็นการให้เกียรติต้นฉบับด้วยค่ะ
แต่ถ้าหากน้องๆ ไม่เขียนแหล่งอ้างอิงมา ก็เท่ากับว่าน้องเป็นคนคิดค้นเนื้อหาเหล่านั้นมาด้วยตนเองทั้งหมด การมโนในรายงานวิชาการเป็นเรื่องไม่ดี ไม่น่าเชื่อถือแล้วอาจจะทำให้รายงานมีแต่น้ำด้วย และถ้าหากรายงานถูกเผยแพร่ออกไปโดยไม่มีการตรวจสอบก่อน ก็อาจเกิดความเข้าใจผิดต่อๆ กันไปอีกเป็นลูกโซ่ได้
6. ภาษาดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ภาษาที่ใช้ในรายงานของน้องๆ ควรเป็นภาษาในระดับทางการเหมือนกับหนังสือที่เราใช้เรียนเลยค่ะ จะมาใช้ภาษาเหมือนเขียนไดอารี่หรือจดเลคเชอร์ไม่ได้ เพราะจะทำให้รายงานไม่น่าเชื่อถือ และดูไม่น่าอ่านด้วย (ลองคิดสภาพหนังสือเรียน เขียนว่า "วันมาฆบูชา คือ วันที่พระพุทธเจ้าประทานหลักโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระสงฆ์ทั้ง 1,250 รูปจ๊ะ แล้วแบบพระสงฆ์ก็มาประชุมแบบไม่ได้นัดหมายกันมาด้วย" ก็ไม่รู้ว่าก่อนได้ความรู้จะอยากอ่านต่ออีกมั้ย)
ความจริงแล้ว การเขียนไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ แค่รายงานของน้องๆ มีแต่เนื้อ ไม่เน้นน้ำ ก็มั่นใจได้ว่ารายงานของน้องใช้ภาษาดีในระดับนึงแล้ว เพราะน้ำที่มักปรากฏอยู่ในรายงานเกินครึ่ง คือ พวกใจความขยาย หรือ คำเชื่อมต่างๆ เช่น ดังนั้น ดังนี้ อย่างไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะว่า และอีกคำสารพัดมาช่วยเพิ่มจำนวนบรรทัดในรายงาน หากตัดออกไปแล้วเรียบเรียงให้เข้าที่มากขึ้นก็จะได้รายงานภาษาสวยๆ ส่งคุณครูแล้ว
อ้อ! อีกวิธีที่เป็นการเช็กว่าเราใช้ภาษาได้ดีหรือยัง คือ การอ่านบ่อยๆ ทั้งจากหนังสือวิชาการทั่วๆ ไป และอ่านรายงานของตัวเองหลายๆ รอบ แล้วดูว่ามันสมูทหรือยัง ติดขัดตรงไหนก็ปรับแก้ให้ถูกจุด เท่านี้เองจ้า
7. ส่งตรงเวลา
เรื่องการส่งตรงเวลาก็เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานรายงานที่อยู่ในอันดับแรกๆ เลยก็ว่าได้ เพราะต่อให้ทำมาซะดิบดี หรูหราอลังการ 300 หน้า แต่ดั๊นเอามาส่งไม่ตรงเวลา อาจารย์ไม่รับก็แป๊กได้นะคะ ฉะนั้นอย่าให้ความตั้งใจต้องมากลายเป็นศูนย์คะแนนเลยค่ะ ควรใส่ใจกับเรื่องกำหนดวันส่งด้วย จะดีมากๆ อย่างน้อยส่งตรงเวลาก็ไม่ถูกหักคะแนนนะ
แค่ 7 ข้อสบายๆ ก็ช่วยให้รายงานออกมาถูกใจครูได้มาตรฐานสากล (สากลไหนหว่า) แรกๆ อาจจะยากสักนิดเพราะมีหลายอย่างที่ยังไม่คุ้นเคย แต่ฝึกไปเรื่อยๆ จะชินและทำได้ไวขึ้นค่ะ ที่สำคัญรายงานของเราก็จะดูดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกันจ้า